ภาษี เป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบการเงินของทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ที่มีบทบาทในการสนับสนุนการเงินรัฐ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ “ภาษีบุคคลธรรมดา” และ “ภาษีนิติบุคคล” ซึ่งในบทความนี้ ไหนดี จะมาอธิบายลักษณะและวิธีการจัดเก็บที่แตกต่างกัน ไปดูรายละเอียดได้เลย
“ภาษีบุคคลธรรมดา” กับ “ภาษีนิติบุคคล” คืออะไร?
ภาษีบุคคลธรรมดา
ภาษีบุคคลธรรมดา เป็นภาษีเงินได้ที่เรียกเก็บจากรายได้ของบุคคลธรรมดาหรือกลุ่มบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นพนักงานทั่วไป ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือบุคคลที่มีรายได้จากแหล่งอื่น ๆ
- การจัดเก็บภาษีบุคคลธรรมดา: มักจะพิจารณาตามอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามระดับรายได้ โดยมีลักษณะขั้นบันไดหรืออัตราก้าวหน้า
ตัวอย่าง:
- นายสมชาย มีรายได้จากการทำงานประจำ 150,000 บาทต่อปี
ดังนั้น นายสมชายต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาตามอัตราที่กำหนดในแต่ละช่วงรายได้ โดยนำรายได้ทั้งหมดมาคิด เมื่อรายได้รวมทั้งหมดจากทุกช่องทาง สำหรับรายได้ 150,000 บาทแรก เสียภาษี 5% และสำหรับรายได้ที่เกินกว่า 150,000 บาท เสียภาษี 10%
ภาษีนิติบุคคล
ภาษีนิติบุคคล เป็นภาษีเงินได้ที่เรียกเก็บจากรายได้ของนิติบุคคลหรือบริษัท ซึ่งรวมถึงห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด และบริษัทมหาชนจำกัด
- การจัดเก็บภาษีนิติบุคคล: มักจะใช้อัตราภาษีที่เป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ของกำไรสุทธิของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายที่ได้รับการยกเว้นและสิทธิลดหย่อนต่าง ๆ
ตัวอย่าง:
- บริษัท ABC จำกัด มีรายได้สุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,000,000 บาทต่อปี
ดังนั้น บริษัท ABC ต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะเท่ากับ 400,000 บาท
ความแตกต่างระหว่าง “ภาษีบุคคลธรรมดา” และ “ภาษีนิติบุคคล”
1. ผู้เสียภาษี
- ภาษีบุคคลธรรมดา: บุคคลธรรมดาหรือกลุ่มบุคคล
- ภาษีนิติบุคคล: บริษัทหรือนิติบุคคล
2. โครงสร้างอัตราภาษี
- ภาษีบุคคลธรรมดา: อัตราภาษีเป็นขั้นบันไดตามระดับรายได้ มีลักษณะก้าวหน้า
- ภาษีนิติบุคคล: อัตราภาษีเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ของกำไรสุทธิ
3. การหักลดหย่อน
- ภาษีบุคคลธรรมดา: มีรายการหักลดหย่อนหลายประเภท เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าใช้จ่ายบุตร ฯลฯ
- ภาษีนิติบุคคล: มีการหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการ รวมถึงค่าลดหย่อนภาษีที่ได้รับการยกเว้นจากรัฐ
ตัวอย่างการเสียภาษีในธุรกิจ
ธุรกิจขนาดเล็ก: ร้านกาแฟ
- ร้านกาแฟของนายสมชายมีรายได้ต่อปี 600,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายรวม 400,000 บาท กำไรสุทธิของร้านกาแฟนี้คือ 200,000 บาท
- นายสมชายต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาจากกำไรสุทธิที่ได้รับในแต่ละปีตามอัตราภาษีที่กำหนด
ธุรกิจขนาดกลาง: บริษัทผลิตสินค้า
- บริษัท ABC ผลิตสินค้าและมีกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย 5,000,000 บาทต่อปี
- บริษัท ABC ต้องเสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะเท่ากับ 1,000,000 บาท
ไหนดี อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคลมีความสำคัญต่อการบริหารการเงินและการวางแผนภาษีของบุคคลและธุรกิจเพื่อให้สามารถจัดการภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้านะคะ