ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการแข่งขันในปัจจุบันที่เพิ่มขึ้น แนวคิดเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งหมายถึงความสมดุลระหว่างความรับผิดชอบทางวิชาชีพและชีวิตส่วนตัว และการเพิกเฉยต่อความสมดุลนี้อาจนำไปสู่ผลเสียหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อทั้งบุคคลและองค์กร ไหนดี จะพาไปดูว่ามีผลเสียอะไรบ้างที่เราต้องตระหนักและทำความเข้าใจเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่อาจจะตามมา
หากไม่ใช้ชีวิตแบบ Work-Life Balance จะมีผลกระทบตามมายังไงบ้าง?
1. ระดับความเครียดเพิ่มขึ้น
การให้ความสำคัญกับงานมากกว่าชีวิตส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดความเครียดเรื้อรังได้ เมื่อเราไม่สามารถตัดขาดจากความรับผิดชอบทางการงานได้ ความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง รวมถึงความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และโรคหลอดเลือดหัวใจ
2. เกิดภาวะ Burnout
ภาวะ Burnout คือสภาวะของความเหนื่อยล้าทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจที่เกิดจากความเครียดและการทำงานหนักเป็นเวลานาน อาการต่าง ๆ ได้แก่
- เหนื่อยล้า
- หงุดหงิด
- รู้สึกโดดเดี่ยว
ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ลดลงอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปอาจนำไปสู่การลาออกได้
3. ผลงานและประสิทธิภาพงานลดลง
แม้ว่าอาจดูขัดกับความเป็นจริง แต่การทำงานนานขึ้นอาจไม่ช่วยให้ได้ผลงานมากขึ้น หากไม่มีการพักผ่อนและมีเวลาส่วนตัวที่เพียงพอ ประสิทธิภาพและสมาธิของแต่ละบุคคลจะลดลง การหยุดพักเป็นประจำและมีเวลาส่วนตัวช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้นได้
4. สุขภาพกายไม่ดี
การขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่ดี และ/หรือการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ มักกลายเป็นเรื่องปกติในคนที่ทำงานหนักเกินไป ซึ่งนิสัยเหล่านี้มักนำไปสู่โรคอ้วน โรคเบาหวาน และภาวะสุขภาพเรื้อรังอื่น ๆ
นอกจากนี้ อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูกเพิ่มขึ้น หากเราใช้เวลานานหลายชั่วโมงอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่มีหลักสรีรศาสตร์หรือการพักอย่างเหมาะสม
5. ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด
ความสัมพันธ์ส่วนตัวอาจได้รับผลกระทบอย่างมากเมื่อเราให้ความสำคัญกับงานมากกว่า ครอบครัวและเพื่อนฝูงอาจรู้สึกว่าถูกละเลย นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดหรือแตกหัก การขาดการสนับสนุนจากคนที่คุณรักอาจทำให้เกิดความเครียดและภาวะ Burnout ที่รุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตตามมา
6. ความพึงพอใจในการทำงานลดลง
การไม่จัดการสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้ดี อาจทำให้เกิดความไม่พอใจในงานได้ อาจจะรู้สึกว่าเวลาทำงานกำลังรุกล้ำเวลาส่วนตัว จนอาจจะรู้สึกไม่พอใจและไม่มีแรงจูงใจ ซึ่งความไม่พอใจนี้อาจเพิ่มอัตราการลาออก ทำให้องค์กรต้องเสียเวลาและเงินในการจ้างและฝึกอบรมพนักงานใหม่ได้
7. ผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต
การเพิกเฉยต่อความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพจิตได้ ความเครียดและความเหนื่อยหน่ายเรื้อรังสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น
- โรคเครียด
- โรควิตกกังวล
- ภาวะซึมเศร้า
ฯลฯ
ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตส่วนตัวอีกด้วย
8. ความคิดสร้างสรรค์ลดลง
ความคิดสร้างสรรค์มักจะก่อเกิดได้ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายและปราศจากความเครียด เมื่อบุคคลมีภาระมากเกินไป ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จะลดลง ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตส่วนบุคคลและความสำเร็จขององค์กรด้วย
จากผลกระทบข้างต้น ไหนดี เห็นว่าการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ การเพิกเฉยต่อความสมดุลนี้อาจนำไปสู่ความเครียดที่เพิ่มขึ้น สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ไม่ดี ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และความพึงพอใจในงานลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่นายจ้างและลูกจ้างที่จะต้องตระหนักถึงความสำคัญนี้ และพยายามปรับเปลี่ยนแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละบุคคลสามารถมีสุขภาพที่ดีขึ้น ชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และองค์กรจะได้รับประโยชน์จากพนักงานที่มีส่วนร่วม มีประสิทธิภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้นนั่นเอง