หนึ่งในปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของเรานั้น หากเราต้องอยู่ในสังคมมนุษย์ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะกล่าวว่า “เงิน” คือ ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่ง เพราะเงินเป็นสื่อการในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการทุกอย่างบนโลกของเรา ดังนั้น เมื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต หรือซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เราจำเป็นต้องมีเงินสำหรับใช้แลกเปลี่ยน ซึ่งในเรื่องของการออมเงิน, เก็บเงิน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำสำหรับเราทุกคน แต่การจะตั้งเป้าเก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ หลังจากที่เราพึ่งเรียนจบและเริ่มต้นชีวิตการทำงาน จะมีวิธีการอย่างไร และมีขั้นตอนเทคนิคแบบไหน ให้ 1 ล้านบาทแรกทะลุเป้าของเราสักที ในวันนี้ไหนดีจะพาไปหาคำตอบกัน กับการเก็บเงิน 1 ล้านแรก ทำยังไงให้ถึงเป้าได้เร็ว ภายใน 1 ปี, 5 ปี
เทคนิคเก็บเงิน 1 ล้านแรก ทำอย่างไรถึงเป้าได้เร็ว ภายใน 1 ปี
เงิน 1 ล้านบาทภายใน 1 ปี อาจเป็นเรื่องไกลตัวของใครหลาย ๆ คน ซึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันที่จะเก็บเงินให้ได้ถึง 1 ล้านบาท ภายในปีเดียว แต่การจะวางเป้าหมายในการเก็บเงินล้านแรกใน 1 ปีนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ยังพอมีหนทางที่มีทางเป็นไปได้อยู่ ส่วนจะทำอย่างไรได้นั้น เราลองไปดูเทคนิคการเก็บเงิน 1 ล้านแรกใน 1 ปีกันได้เลย
- เปลี่ยนรูปแบบจากการออม หรือการลงทุน เป็นการสร้างศักยภาพในการหารายได้ เพราะการที่จะลงทุนหรือเก็บออมให้ได้เงิน 1 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 1 ปี ต้องอาศัยผลตอบแทนการลงทุนที่สูงมาก และมีเงินลงทุนที่สูงตามไปด้วย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนการลงทุนตามที่ต้องการ ดังนั้น การจะเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาท ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เราต้องเลือกที่จะสร้างศักยภาพในการหาเงินแทน กล่าวคือ ตัวเราเองต้องหารายได้ ได้เยอะ ๆ มากกว่ามุ่งเป้าไปที่การลงทุน
- ตัวอย่างเช่น หากเรามีเงินลงทุน 100,000 บาท เราต้องอาศัยประสบการณ์, โอกาส และปัจจัยหลายอย่าง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจนครบ 1 ล้านบาท แต่ถ้าหากเราสร้างศักยภาพในการหาเงิน เช่น การขายของออนไลน์, การทำช่อง Youtube, การทำงานตามความสามารถ เช่น เขียนโปรแกรม, สอนดนตรี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมมีโอกาสทำเงินได้มากกว่าการลงทุน รวมทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยกว่า หากได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เราอาจจะสามารถหารายได้หลักแสนบาทต่อเดือน นั่นทำให้การมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ภายในหนึ่งปีไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย
- ไปทำงานต่างประเทศ การไปทำงานต่างประเทศ หากตำแหน่งหน้าที่การงานของเรา ไม่ได้เป็นวิชาชีพเฉพาะที่ได้รับผลตอบแทนสูง หรือไม่มีลู่ทางในการทำธุรกิจอื่น ๆ การไปทำงานต่างประเทศที่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าในไทย ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะนอกจากรายได้ที่ได้มากกว่าการทำงานในประเทศแล้ว ยังได้ในเรื่องของค่าเงินที่สูงกว่าทำให้เรามีศักยภาพในการเก็บเงินได้มากขึ้น สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายได้รวดเร็วกว่าการทำงานอยู่ในประเทศไทย
- ตัวอย่างเช่น อยู่ในไทยเราได้เงินเดือน 25,000 บาท เป็นพนักงานออฟฟิศ หลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เราอาจเหลือเงินเก็บเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ที่ภายใน 1 ปีเราจะมีเงินเก็บถึง 1 ล้านบาท แต่ถ้าหากเราไปทำงานต่างประเทศ เช่น เป็นพนักงานออฟฟิศในสหรัฐอเมริกา อาจได้รับผลตอบแทนเดือนละ 4,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ประมาณ 131,200 บาทไทย แบบนี้ก็ทำให้เมื่อกลับมาไทยก็มีโอกาสที่จะมีเงินเก็บได้ตามเป้าที่หวังไว้ 1 ล้านบาท ได้มากกว่าการทำงานอยู่ในประเทศไทยแน่นอน
เทคนิคเก็บเงิน 1 ล้านแรก ทำอย่างไรถึงเป้าได้เร็ว ภายใน 5 ปี
สำหรับการมีระยะเวลา 5 ปีในการเก็บเงิน ย่อมทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการเก็บเงินให้ถึง 1 ล้านบาท โดยสำหรับเทคนิคการเก็บเงินล้านบาท ภายใน 5 ปี ที่เราแนะนำ มีดังนี้
- วางแผนการออมเงิน การออมเงิน ถือเป็นพื้นฐานหลักสู่ความมั่งคั่ง การที่เราตั้งเป้าหมายว่าจะเก็บเงิน 1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี ก็ต้องเริ่มจากการวางแผนการออมโดยหากคำนวณจากระยะเวลา 5 ปี ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ เท่ากับว่า เราต้องเก็บเงินให้ได้เดือนละ 16,700 บาท ต่อเดือน ดังนั้น หากเอาแผนการออมเงินเป็นที่ตั้ง จะทำให้เราสามารถวางแผนการออม, จัดสรรรายได้/รายจ่ายของเราให้เหมาะสม เพื่อให้เหลือยอดเงินออมตามที่ได้ตั้งเป้าไว้
- สร้างศักยภาพการหารายได้ การมีรายได้จากหลายช่องทาง ย่อมทำให้โอกาสที่เราจะออมเงินได้จนถึงเป้าหมายมีมากขึ้น เพราะการมีรายได้หลายทาง ย่อมทำให้เราสามารถออมเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น เราอาจต้องคำนวณว่า รายได้ที่เรามีในปัจจุบัน เพียงพอต่อการทำตามเป้าหมายการเก็บเงิน 1 ล้านบาท ภายใน 5 ปีหรือไม่ หากยังไม่เพียงพอการหาแหล่งรายได้อื่น ๆ มาเสริม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการหารายได้และการออมเงิน ย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้ว แหล่งรายได้จากหลาย ๆ ช่องทางจะทำให้เราสามารถออมเงินได้มากขึ้นนั่นเอง
- วางแผนการลงทุนอย่างเหมาะสม การมีระยะเวลา 5 ปี เพื่อเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาท นับว่าเรามีเวลาอยู่พอสมควร ดังนั้น การนำเงินที่เรามีไปจัดสรรในการลงทุนที่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เช่น การลงทุนผ่านกองทุนต่าง ๆ หรือการลงทุนในหุ้น, การซื้อทองคำ เป็นต้น ย่อมก่อให้เกิดโอกาสในการต่อยอดเงินออมของเราให้งอกเงยมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเก็บเงินได้ตามเป้าหมายได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่การลงทุนก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุน ดังนั้น เราจึงควรวางแผนและจัดสรรเงินลงทุนที่เหมาะสม ไม่ควรทุ่มเงินออมที่เรามีทั้งหมด ไปลงทุนแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น